วันพุธที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2561

การพัฒนางาน


🔨การพัฒนางาน🔧

       การพัฒนางาน คือ กระบวนการที่มุ่งเปลี่ยนแปลงหรือปรับปรุงวิธีการต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการทำงาน เพื่อให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพประสิทธิผล
หลักการและวิธีพัฒนางาน
การพัฒนางานคือ การบวนการที่มุ่งเปลี่ยนแปลงหรือปรับปรุงวิธีการต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการทำงาน เพื่อให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล
การวิเคราะห์งานมีวิธีการดังนี้
1.การวิเคราะห์งานด้วยการใช้แนวทางความเป็นเป็นไปได้ของงาน
2.การวิเคราะห์งานด้วยการวิเคราะห์กิจกรรมของงาน
3.การวิเคราะห์งานด้วยการวิเคราะห์หน่วยของงาน





การพัฒนาวิธีการทำงาน
ปรับปรุงวิธีการทำงานให้ดีขึ้น
ปรับปรุงวิธีการใช้เครื่องจักร เครื่องมือและอุปกรณ์ ตลอดจนสถานที่ ทำงาน
ปรับปรุงกระบวนการผลิต ให้เหมาะสมขึ้น
ปรับปรุงการออกแบบผลิตภัณฑ์ ที่มีคุณภาพง่ายต่อการผลิต และต้นทุนต่ำ
ปรับปรุงโดยการเลือกใช้วัสดุที่มีคุณสมบัติตามที่ต้องการ แปรรูปได้ง่ายและราคาไม่แพง

การพัฒนาสถานที่การทำงาน
หลักการพัฒนาสถานที่ทำงาน
1. การจัดเก็บและขนย้ายวัสดุสิ่งของอย่างมีประสิทธิภาพ
2. การใช้เครื่องจักรอย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย
3 .การจัดรูปแบบของงาน
4. การวิเคราะห์ระบบงานและจัดสถานที่
5. การพัฒนาสภาพเงื่อนไขและสภาพแวดล้อม




การวิเคราะห์การจัดระบบงานและจัดสถานที่
1. ระบบงานที่ต้องทำบ่อยๆควรจะออกแบบวัสดุและอุปกรณ์ให้อยู่ใกล้กับคนทำงานในระบบที่เหมาะสมที่สุดและใช้งานสะดวกที่สุดเพื่อที่จะทำงานได้เร็วและไม่เมื่อยล้า
2. ระบบงานที่ทำตามหน้าที่การใช้งาน ออกแบบให้อยู่ในตำแหน่งที่สามารถตอบสนองการใช้งานได้อย่างรวดเร็ว
3. ระบบงานที่ต้องทำตามลำดับขั้นตอน การออกแบบต้องคำนึงถึง การหยิบใช่งานได้อย่างต่อเนื่องตามลำดับขั้นตอนการทำงานก่อนหลัง

หลักการจัดสถานที่ทำงาน

1. การจัดวางวัสดุเครื่องมือ และปุ่มควบคุม ภายในระยะที่หยิบถึงง่าย
2. การปรับปรุงท่าปฏิบัติงานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ
3. การใช้แคลมป์หนีบอุปกรณ์จับยึด และอุปกรณ์อื่นเพื่อประหยัดเวลาแรงงาน
4. การปรับปรุงหน้าปัดแสดงผลและแผงควบคุมเพื่อลดการผิดพลาด

ขอบเขตของสภาพเงื่อนไขและสภาพแวดล้อมในการทำงาน
  หากพิจารณาสิ่งแวดล้อมไม่ปลอดภัยบ่งได้ดังนี้
1. สิ่งแวดล้อมทางกายภาพ ที่เกิดจากการสัมผัสโดยตรงของคนเช่นแสงสว่างความสั่นสะเทือนเสียงและอากาศอุณหภูมิ
2. สิ่งแวดล้อมทางชีวภาพ ที่เกิดจากการได้รับเชื้อที่มาจากสิ่งมีชีวิต เช่น สัตว์ พืช หรืออากรติดเชื้อจากไวรัส แบคทีเรียเชื้อรา รวมทั้งความชื้นหรือความแออัดคับแคบจากสถานที่ทำงาน
3. สิ่งแวดล้อมทางเคมี เกิดจากการทำปฎิริยาทางเคมีของสสารต่างๆ เช่น แก๊ส เขม่า ควันไฟ ฝุ่นโลหะ สารเคมีอื่นๆ
4. สิ่งแวดล้อมการจัดสภาพงาน ที่มีความสัมพันธ์กับการทำงานของคนงาน เช่น สภาพการทำงานที่ซ้ำซากจำเจ ความเบื่อหน่ายต่อการทำงานความกังวลและปัญหาต่างๆในหน่วยงานเป็นต้น

องค์ประกอบของสภาพเงื่อนไขและสภาพแวดล้อมการทำงาน
1. สุขภาพและความปลอดภัย
2. เวลาการทำงาน ทำงานเป็นเวลานานจะทำให้เกิดการสูญเสียความสนใจ ในงานความเหนื่อยหน่าย ความเมื่อยล้า
3. สภาพภูมิอากาศ
4. กลิ่น ฝุ่น และสารพิษ
5. แสงสว่าง
6. เสียงและความสั่นสะเทือน
7. อัคคีภัยและอันตรายจากไฟฟ้า

การพัฒนาสภาพเงื่อนไขและสภาพแวดล้อมการทำงาน
1.จัดตั้งองค์การเพื่อสุขภาพและความปลอดภัย
2.การจัดเวลาการทำงาน
3.ปกป้องโรงงานจากสภาพภูมิอากาศ
4.การกำจักหรือแยกแหล่งกำเนิดมลพิษ
5.การปรับปรุงพื้นอาคาร
6.วางผังโรงงานอย่างยืดหยุ่นและดัดแปลงได้ง่าย
7.อัคคีภัยและอันตรายจากไฟฟ้า


การพัฒนาเครื่องมือและอุปกรณ์
วัตถุประสงค์ของการออกแบบเพื่อพัฒนาเครื่องมือ
1.เพื่อให้ได้ผลผลิตที่ราคาต่ำมีคุณภาพและมีขนาด/รูปร่างเท่ากันทุกชิ้น
2.เพิ่มผลผลิตการพัฒนาปรับปรุงเครื่องมือ
3.พัฒนาวิธีทำงานกับเครื่องมือให้ง่ายและสะดวกยิ่งขึ้น
4.เลือกใช้วัสดุที่ใช้ทำเครื่องมือเพื่อให้อายุการใช่งานเครื่องมือสูงสุด
5.เตรียมอุปกรณ์ให้ปลอดภัยมากที่สุด

หน้าที่ของอุปกรณ์ในการทำงาน
1.อุปกรณ์นำเจาะ ทำหน้าที่เป็นเครื่องมือช่วยในการกำหนดตำแหน่งยึดชิ้นงานและเป็นตัวนำทางของเครื่องมือตัด(Cutting tools)ในการเจระรูหรือคว้านรู
2.อุปกรณ์จับยึดงาน ทำหน้าที่เป็นเครื่องมือช่วยในการกำหนดตำแหน่งจับยึดชิ้นงานและร่องรับชิ้นงานให้อยู่กับที่ในขณะเครื่องกำลังทำงาน
3.อุปกรณ์ขนถ่าย เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการเคลื่อนที่ ขนส่งของจากที่หนึ่งไปที่หนึ่งในเวลาที่ต้องการ และอยู่ในลักษณะของคุณภาพที่ต้องการรวมทั้งการเก็บรักษาและการบรรจุหีบห่อ





🙏ขอขอบคุณ🙏 : http://lms.rmutsb.ac.th/elearning/claroline/backends/download.php?url=LzA1XzIucHB0&cidReq=1901201

💻สืบค้นเมื่อวันที่💻 13 ธันวาคม 2561



วันพุธที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2561

การเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน


การเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน

1. การเพิ่มประสิทธิภาพในองค์กร📌
          การเพิ่มประสิทธิภาพในองค์กร ข้อแตกต่างของคำว่า ประสิทธิผล กับ ประสิทธิภาพประสิทธิผล(Effectiveness) หมายถึง ความสำเร็จในการที่สามารถดำเนินกิจการก้าวหน้าไปและสามารถบรรลุเป้าหมายต่าง ๆ ที่องค์กรตั้งไว้




          ประสิทธิภาพ (Efficiency) หมายถึง การเปรียบเทียบทรัพยากรที่ใช้ไปกับผลที่ได้จากการทำงานว่าดีขึ้นอย่างไร แค่ไหน ในขณะที่กำลังทำงานตามเป้าหมายองค์กร วิธีการใช้ตัวเกณฑ์วัดประสิทธิภาพขององค์กร
1. เกณฑ์วัดผลตามเป้าหมาย
2. เกณฑ์การบริหารประสิทธิภาพเชิงระบบ
3. เกณฑ์การบริหารประสิทธิภาพโดยอาศัยกลยุทธ์ตามสภาพแวดล้อมเฉพาะส่วน
4. การใช้วิธีการแข่งขันคุณค่าการสร้างองค์กรแห่งคุณภาพ
การที่องค์กรจะไปสู่คุณภาพนั้น จำเป็นต้องปรับองค์กร โดยทั่วไปนิยมใช้ 3 วิธีคือ
1. การลดต้นทุน
2. การเพิ่มผลผลิตอย่างต่อเนื่อง
3. การปรับปรุงคุณภาพอย่างต่อเนื่อง
นิสัยแห่งคุณภาพมี 7 ประการ ดังนี้
1. ความเป็นระเบียบเรียบร้อย
2. การทำงานเป็นทีม
3. การปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง
4. การมุ่งที่กระบวนการ
5. การศึกษาและฝึกอบรม
6. ประกันคุณภาพ
7. การส่งเสริมให้พนักงานมีส่วนร่วม

กลยุทธ์การบริหารเชิงคุณภาพ เป็นเพียงการนำเสนอดังนี้ 

1. วงจร PDCA หรือ PDCA





2. ระบบ 5 ส หรือ 5 S





3. กลุ่มระบบ QCC (Quality Contrl Circle:QCC)





4. ระบบการปรับรื้อ (Re-engineering)






5. ระบบ TQM (Total Quality Management)







2. องค์กรและการจัดการองค์กร📌
      ความหมายขององค์กร ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตตยสถาน ได้นิยามความหมายของ องค์กรไว้ว่าองค์กรเป็นศูนย์รวมกิจกรรมที่ประกอบกันขึ้นเป็นหน่วย ถ้าเป็นงานสาธารณะ เรียกว่า องค์กรบริหารส่วนราชการ ถ้าเป็นหน่วยงานเอกชน เรียกว่า องค์กรบริหารธุรกิจลักษณะขององค์กร องค์กรโดยทั่วไป แบ่งออกเป็น 3 ลักษณะใหญ่ ๆ   คือ

1. องค์กรทางสังคม



2. องค์กรทางราชการ





3. องค์กรเอกชน






1. โครงสร้างขององค์กร
    โครงสร้างขององค์กร เป็นการมององค์กรในลักษณะที่เต็มที่ ที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ และบทบาทหน้าที่ที่เป็นระเบียบ เพื่อการจัดการและบริหารให้มีประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อความสำเร็จขององค์กร


2. โครงสร้างขององค์กรจะประกอบด้วยส่วนสำคัญ
     ดังนี้มีเป้าหมายวัตถุประสงค์มีภารหน้าที่มีการแบ่งงานกันทำมีสายการบังคับบัญชามีช่วงการควบคุมมีความเอกภาพประเภทขององค์กร องค์กรจะมีความแตกต่างกันมากมาย ทั้งในด้านองค์ประกอบและวัตถุประสงค์ ฉะนั้นในการแบ่งประเภทขององค์กร จึงสามารถแบ่งออกได้ 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ
2.1 องค์กรปฐมและมัธยม
2.2 องค์กรรูปนัยและอรูปนัย

     เป้าหมายขององค์กรเป้าหมายขององค์กร เป็นการกำหนดทิศทางการดำเนินงานของงอค์กร โดยคอยกำหนดแนวทางการปฏิบัติ เมื่อองค์กรมีเป้าหมายที่ชัดเจน จะทำให้มีความเข้าใจในการทำงาน

     หลักการจัดองค์กรครั้งนี้จะเน้นไปที่ระบบราชการ โดยมีหลักสำคัญดังนี้การกำหนดหน้าที่การงานการแบ่งงานสายการบังคับบัญชาอำนาจการบังคับบัญชาช่องการควบคุมแผนภูมิองค์กรสิ่งที่ต้องคำนึงถึงในการขัดองค์กรนักวิชาการได้กล่าวถึงหลักการจัดองค์กรไว้หลายประการ แต่โดยสรุปได้ดังนี้

1. องค์กรมีเป้าหมาย นโยบาย และแผนงานในการดำเนินงานอย่างชัดเจน เพื่อให้เพื่อนร่วมงานหรือสมาชิกองค์กรทราบ ซึ่งจะทำให้การบริหารองค์กรดำเนินไปด้วยความราบรื่นและมีประสิทธิภาพ

2. องค์กรต้องจัดให้มีศูนย์กลางในการอำนวยการที่มีและสิทธิภาพ มีความรับผิดชอบและอำนวยการโดยตรง

3. องค์กรจะต้องระบุหน้าที่การงาน ความรับผิดชอบของสมาชิกแต่ละคนให้ชัดเจนมีการแบ่งแยกหน้าที่ตามความเหมาะสม ตรงตามความรู้ความสามารถ

4. องค์กรต้องจัดระบบการทำงานอย่างเหมาะสม มีเทคนิคในการควบคุมงาน และการประสานงานในองค์กร

5. องค์กรต้องมีระบบการสื่อสารที่ดี มีหลักอำนวยการ การวินิจฉัยสั่งการที่ดี
ขั้นตอนการจัดองค์กรการจัดองค์กรมีประสิทธิภาพนั้น เออร์เนสต์ เดล ได้เสนอแนะไว้เบื้องต้น 3 ขั้นตอน ดังนี้การกำหนดรายละเอียดของงานการแบ่งงานให้แต่ละคนในองค์กรได้รับผิดชอบตามความเหมาะสมการประสานงาน

3. พฤติกรรมในองค์กรพฤติกรรมในองค์กร📌
       องค์กรจะสร้างรูปแบบของการดำเนินงาน ตลอดจนการปฎิบัติงานต่าง ๆ ขึ้น เพื่อสนองตอบการเปลี่ยนของ  สิ่งแวดล้อม และสภาวะที่เกิดจากการดำเนินงานของบุคคลและของกลุ่ม หรืออาจจะกล่าวอีกนัยหนึ่งว่า รูปแบบเฉพาะในการดำเนินงานที่องค์กรสร้างขึ้นนั้น เป็นผลมาจากการปรับองค์ประกอบต่าง ๆ ให้สอดคล้องกันและกันได้การศึกษาพฤติกรรมต่าง ๆ ในองค์กร 3 ระดับ คือ

1. พฤติกรรมบุคคล (Individual Behavior)





2. พฤติกรรมกลุ่ม (Group Behavior)




3. พฤติกรรมองค์กร (Organization Behavior)




        ความพึงพอใจในการทำงาน หมายถึง สภาวะของอารมณ์ ความรู้สึก และเจตคติของบุคคลที่มีต่องานที่เขาปฎิบัติอยู่ โดยแสดงออกมาเป็นความสนใจ กระตือรือร้น เต็มใจและสนุก ร่าเริง เป็นต้น เมื่อผู้ปฎิบัติงานเกิดความพึงพอใจในงานที่ทำ เขาก็จะมีความพยายาม อุตสาหะ มีความสุขในการทำงาน และความมุ่งมั่นจนงานนั้นสำเร็จตามวัตถุประสงค์ความสำคัญของความพึงพอใจในการทำงาน วิธีการที่จะปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานของบุคคลมี 3 วิธีการ คือ

1. วิธีการบริหารแบบวิทยาศาสตร์ (Scientific Managerial Approach)
2. วิธีการมนุษยสัมพันธ์ (Human Relation Approach)
3. วิธีการบริหารทรัพยากรมนุษย์ (Human Resources Managemrnt)

4. การพัฒนาศักยภาพของบุคลากรในองค์กร📌
       กลยุทธิ์ในการพัฒนาตนเองเพื่อให้การพัฒนาตนเองประสบผลสำเร็จ จึงขอเสนอหลักการเพิ่มเติม เพื่อการพัฒนาตนเองไปถึงจุดที่ควรจะเป็น และพยายามหาวิธีการพัฒนาตนเองอยู่เสมอ โดยบุคคลจะต้องเรียนรู้ตัวเราให้ดีก่อน แล้วจึงนำความเข้าใจกับสิ่งที่เรารู้ จากตัวบุคคลจาสิ่งที่ตัวเราที่แท้จริงก่อน เมื่อเป็นเช่นนี้จะทำให้เราสามารถมองเห็นข้อบกพร่อง แล้วจึงยึดหลักเพื่อปฏิบัติตนเอง เพื่อให้ประสบผลสำเร็จในการประกอบอาชีพ หรือการดำเนินชีวิตดังนี้การเป็นผู้มีจิตใจสงบการเป็นผู้มีจิตใจเบิกบานความเป็นผู้ไม่หวาดหวั่นต่อความยากลำบากเป็นผู้ตรงต่อเวลา ความเป็นผู้มีความเชื่อมั่นในตนเองความเป็นผู้ละเอียดรอบคอบการเป็นคนขยันขันแข็งความเป็นผู้เชื่อถือของผู้อื่นการสร้างทีมงานความสำเร็จของงานขึ้นอยู่กับปัจจัยการทำงานเป็นทีม ภารกิจสำเร็จของนักบริหารจัดการคือ การพยายามทำความเข้าใจกับส่วนประกอบของทีมงาน การกำหนดวัตถุประสงค์ของทีมงานให้ชัดจน และการทำงานอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ตามเป้าหมายขององค์กรนักบริหารจะต้องไม่ลืมความสัมพันธ์ลักษณะระหว่างคุณลักษณะของการทำงานเป็น กับความสำเร็จงานบนพื้นฐานง่ายๆ ดังนี้
การสร้างทีมงาน

1. การสร้างทีมงาน (Team-Building)
2. การทำงานป็นทีม(Team- Wok)


      วัตถุประสงค์ในการสร้างทีมงานลักษณะงานที่ต้องการสร้างสรรค์ใหม่ ๆ จะต้องจัดระบบในเรื่องต่าง ๆ ได้แก่ การติดต่อสื่อสารกระบวนการแก้ปัญหา และการทำงานเป็นลักษณะงานประจำ และการบริการที่อยู่ภายใต้สถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลานี้ เราจะต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์และสติปัญญา ในอันที่จะเริ่มสร้างสิ่งใหม่ ๆ รวมทั้งเตรียมรับมือกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด และยังต้องอาศัยความสามารถอย่างเต็มที่ เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ร่วมกัน ดังนั้น การตระหนักถึงความจำเป็นในการทำงานร่วมกัน การสร้างทีมงานจึงมีวัตถุประสงค์ ดังนี้ เพื่อสร้างความไว้วางใจในหมู่สมาชิกทีมงานเดียวกัน ด้วยการเห็นคุณค่าของคน และยอมรับในศักยภาพของแต่ละบุคคลการทำงานเป็นทีมมีประสิทธิผลมากขึ้น เมื่อสมาชิกทีมได้เสริมสร้างทักษะความเชี่ยวชาญมากขึ้นประสิทธิภาพการทำงานจะเพิ่มขึ้น เมื่อการแสดงความคิดเห็นในลักษณะข้อมูลป้อนกลับขอทีมงานถือว่าเป็นสิ่งจำเป็นคนเราจะทำงานร่วมกันได้ดีขึ้น เมื่อมีการเปิดเผยและจริงใจต่อกัน โดยเฉพาะตอนที่มีปัญหาเพื่อให้การสนับสนุนด้านพัฒนาบุคลิกภาพ รู้จักเปิดหน้าต่างการเรียนรู้ โดยรับฟังความคิดเห็นข่าวสารเพื่อการพัฒนาทักษะในการแก้ไขปัญหาร่วมกัน เป็นการช่วยลดการขัดแย่งระหว่างบุคคลเนื่องจากสมาชิกของทีมงานได้เรียนรู้ถึงทักษะความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลมากขึ้นส่งเสริมความริเริ่มสร้างสรรค์ในหมู่สมาชิกของทีม และเป็นการสร้างความพึงพอใจในการปฏิบัติงานลักษณะของทีมงานที่ดีทีมงานที่ดี จะมีความสมดุลที่เหมาะสมองทักษะความสามารถ รวมทั้งความพอใจทุกคนสามารถแสดงออกด้วยความซื่อสัตย์และเปิดเผย การสนทนาเกี่ยวกับงานจะเหมือนกันทั้งภายในและภายนอก องค์กรมีการเผชิญหน้าและเปิดเผย และใช้สื่อกลางสำหรับการเรียนรู้ และเมื่อเผชิญกับสถานการที่ยากลำบาก ดังนั้น การสร้างทีมงานที่ดีควรมีลักษณะ ดังนี้ประโยชน์ของการทำงานเป็นทีมงานดีมีคุณภาพเพิ่มผลผลิตของตนลดความขัดแย้งในองค์กรรู้บทบาทหน้าที่ของตนเองปลูกฝังความรับผิดชอบสร้างมิตรสัมพันธ์พัฒนาความคิดสร้างสรรค์

5. บุคลิกภาพแนวคิดเกี่ยวกับบุคลิกภาพ📌
       บุคลิกภาพ มาจากคำบาลี 2 คำ คือ บุคลิก กับ ภาวหรือภาพ เมื่อนำมารวมกันหรือสมาสกันเป็น บุคลิกภาพ ตรงกับภาษาอังกฤษว่า Personality แปลว่า ลักษณะเฉพาะตัวของบุคคลซึ่งแต่ละคนจะมีลักษณะเฉพาะไม่ตรงกันนอกจากนี้ นักจิตวิทยาได้ให้ความหมายบุคลิกภาพไว้หลายทัศนะด้วยกัน เช่นบุคลิกภาพ คือ ผลรวมของพันธุกรรม และประสบการณ์ทั้งหมดของบุคคลบุคลิกภาพ คือ ลักษณะรวมของบุคคล และวิธีการแสดงออกทางพฤติกรรม ซึ่งกำหนดการปรับตัวตามแบบฉบับของแต่ละบุคคลต่องสิ่งแวดล้อมบุคลิกภาพ คือ กระบวนการสร้างหรือการจัดส่วนประกอบของแต่ละคน ทั้งภายในและภายนอก (จิตใจและร่างกาย) ซึ่งบุคลิกภาพนี้จะทำหน้าที่เป็นเครื่องกำหนด ตัดสินพิจารณาลักษณะพฤติกรรม และความนึกคิดของบุคคลนั้นสรุป บุคลิกภาพ คือ ลักษณะพิเศษเฉพาะของบุคคลแต่ละบุคคล อันทำให้บุคคลนั้นแตกต่างจากบุคคลอื่น ๆ บุคลิกภาพประกอบด้วยรูปสมบัติและคุณสมบัติองค์ประกอบของบุคลิกภาพบุคลิกภาพ ประกอบไปด้วยลักษณะต่าง ๆ ดังนี้

1. ลักษณะท่าทาง
2. ลักษณะทางใจ
3. ลักษณะทางสังคม
4. ลักษณะทางอารมณ์ลักษณะของผู้มีบุคลิกภาพที่ดีบุคลิกภาพที่ดี มักจะเป็นคนที่มีพื้นฐานด้านสุขภาพจิตดี ทำให้มีการปรับตัวที่ดี และส่งผลถึงการมีบุคลิกภาพที่ดีด้วย ผู้ที่มีบุคลิกภาพที่ดี จะมีคุณลักษณะและความสามารถทางจิตที่สำคัญ 6 ประการ ดังต่อไปนี้
          1. ความสามารถในการรับรู้และเข้าใจสภาพความจริงอย่างถูกต้อง
          2. การแสดงอารมณ์ในลักษณะและขอบเขตที่เหมาะสม
          3. ความสามารถในการสร้างความสัมพันธ์ทางสังคม
          4. ความสามารถในการทำงานที่อำนวยคุณประโยชน์
          5. ความรักและการต้องการทางเพศ
          6. ความสามารถในการพัฒนาตน

      การพัฒนาบุคลิกภาพ คำว่า บุคลิกภาพ มาจากคำว่า Personality แปลว่า ลักษณะเฉพาะตัวของบุคคล ซึ่งไม่เหมือนกัน ดังนั้น บุคลิกภาพเราจึงหมายถึง ลักษณะเฉพาะตัวของเราแต่ละคน ซึ่งไม่มีใครเหมือน และไม่เหมือนใคร บุคลิกภาพเป็นเรื่องเฉพาะบุคคล ไม่มีใครสามารถเลียนแบบบุคลิกภาพผู้อื่นได้เหมือนทุกอย่าง ทุกประการ และบุคลิกภาพสามารถปรับปรุงพัฒนาให้ดีขึ้นได้ประเภทของบุคลิกภาพที่ควรปรับปรุง บุคลิกภาพของบุคคลโดยทั่ว ๆ ไป แบ่งเป็น 2 ประเภท
          1. บุคลิกภาพภายนอก
          2. บุคลิกภาพภายใน

      การปรับปรุงบุคลิกภาพภายนอก
      การปรับปรุงบุคลิกภายนอก หมายถึง สิ่งที่สังเกตเห็นได้ชัด หรือ สัมผัสได้ การปรับปรุงแก้ไขก็ทำได้ง่าย ใช้เวลาน้อย และวัดผลได้ทันที ได้แก่รูปร่างหน้าตาการปรับปรุงการแต่งกายการปรับปรุงในเรื่องการติดต่อสื่อสารการปรับปรุงการพูดการปรับปรุงการฟังการปรับปรุงบุคลิกภาพภายในการปรับปรุงบุคลิกภาพภายใน หมายถึง สิ่งที่มองไม่เห็น และ สัมผัสยาก ต้องมีโอกาสทำงานร่วมกัน หรืออยู่ด้วยกันนานๆ บุคลิกภาพภายในจึงจะแสดงออกมา การแก้ไขเปลี่ยนแปลงค่อนข้างยาก ใช้เวลานาน และวัดผลลำบากบุคลิกภาพภายนอก ได้แก่ความกระตือรือล้นความซื่อสัตย์ความสุภาพความร่าเริงและความร่วมมือความแนบเนียนความยับยั้งชั่งใจความจริงใจจินตนาการ

6. กลยุทธ์การเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน📌
      ในองค์กรด้วยการสร้างบรรยากาศในการทำงานความหมายของกลยุทธ์ในองค์กร กลยุทธ์ขององค์กร หมายถึง การที่องค์กรได้แสดงความสัมพันธ์กับสภาพแวดล้อม โดยใช้วิธีการริหารที่องค์กรไปเกี่ยวข้องกับสภาพแวดล้อมที่มีกลุ่มต่าง ๆ ตัวบุคคล องค์กรอื่นและสถาบันประเภทอื่นทั้งหลายที่อยู่ภายในองค์กรและนอกองค์กรการบริหารองค์กรให้มีประสิทธิภาพมีเรื่องที่สำคัญที่ต้องพิจารณา 2 ประการคือ
      ประการแรก ผู้บริหารต้องเข้าใจถึงลักษณะสภาพแวดล้อมที่เกี่ยวข้อง
      ประการที่สอง ผู้บริหารต้องเข้าใจว่า องค์กรสัมพันธ์กับสภาพแวดล้อมอย่างไร โดยพิจารณาในแง่ของการพิจารณาปัจจัยสำคัญต่าง ๆ ตามความหมายของพฤติกรรมองค์กรการจัดชุดของทรัพยากรที่จะใช้งานในองค์กร ในการจัดชุดทรัพยากรเพื่อใช้ในการบริหาร องค์กรจะมีวิธีการจัดที่แตกต่างกันออกไป โดยทรัพยากรต่าง ๆ สามารถที่จะนำมาพลิกแพลงและจัดทำขึ้นเพื่อสนองต่อแผนงานในรูปแบบที่แตกต่างกันออกไปสุดแต่ความเหมาะสม
      กลยุทธ์การบริหารที่ทรงคุณภาพนี้ คือ การมีประสิทธิผล ที่สามารถกำหนดเป้าหมายที่ดี และสามารถบรรลุผลสำเร็จในเป้าหมายนั้นๆ ได้ และการมีประสิทธิภาพ ที่สามารถทำสำเร็จในเป้าหมายเหล่านั้น โดยมีต้นทุนค่าใช้จ่ายต่ำที่สุดด้วย ลักษณะของกลยุทธ์การบริหารที่ทรงประสิทธิภาพที่จะทำให้การบริหารสามารถประสบผลสำเร็จได้อย่างดีในทุกสถานการณ์
      เงื่อนไขของสภาพแวดล้อมกลยุทธ์การบริหาร การบริหารเชิงรวมที่เป็นภารกิจทางการบริหารของผู้บริหาร บรรรยากาศในองค์กรบรรยากาศในองค์กร จะมีผลต่อประสิทธิภาพในการบริหารองค์กรให้บรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้ ดังนี้ความไว้วางใจ ความเชื่อถือ และความมั่นคงของบุคลากรทุกระดับการมีส่วมร่วมในการตัดสินใจการให้การสนับสนุนความเปิดเผยในการสื่อสารจากเบื้องบนสู่เบื้องล่างการรับฟังความคิดเห็นจากเบื้องล่างสู่เบื้องบนนักวิชาการหลายท่านได้เสนอบรรยากาศขององค์กรที่มีผลกระทบต่อการรับรู้ที่นำไปสู่การลงความคิดเห็นเกี่ยวกับบรรยากาศขององค์กรบรรยากาศในองค์กรและความพึงพอใจในการทำงาน บรรยากาศในองค์กร จะนำไปสู่ความพึงพอใจในการทำงาน เมื่อบุคลากรมีความสัมพันธ์อันดีระหว่างกัน มีความเข้าใจในวัตถุประสงค์ขององค์กรเป็นอย่างดี มีความไว้เนื้อเชื่อใจกันและกันสูง ย่อมส่งผลถึงการมีบรรยากาศในการทำงาน มีความพึงพอใจในการทำงานมากขึ้น ผลงานดีขึ้น โดยที่บุคลากรไม่เบื่อหน่ายในการทำงาน และปฎิบัติหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายได้เป็นอย่างดีการสร้างบรรยากาศในองค์กรกับความก้าวหน้าของบุคลากร

7. การสื่อสารในองค์กรความหมายของการสื่อสารในองค์กร📌
     การสื่อสารในองค์กร หมายถึง กระบวนการในการแลกเปลี่ยนข่าวสารของหน่วยงานกับบุคลากรทุกระดับภายในองค์กร ซึ่งมีความสัมพันธ์กันภายใต้สภาพแวดล้อม บรรยากาศขององค์กร และสังคม ซึ่งสามารถเปลี่ยนแปลงไปได้ตามสถาณการณ์กระบวนการสื่อสารการสื่อสารให้เป็นระบบแล้ว คงจะช่วยให้เข้าใจการสื่อสารได้ดียิ่งขึ้น ด้วยเหตุนี้ กระบวนการสื่อสารประกอบด้วยแหล่งข้อมูล คือ แหล่งที่มาของงข้อมูลข่าวสาร หรือเป็นต้นตอของแหล่งข้อมูลข่าวสารนั่นเอง

      ข่าวสาร คือ เนื้อหาสาระที่ต้องส่งไปผู้ส่ง คือ บุคคลที่จะเป็นผู้ดำเนินการส่งข่าวสาร
      ผู้รับ คือ ผู้เป็นเป้าหมายในการรับข่าวสาร ซึ่งถือว่าเป็นเป้าหมายสุดท้ายของการสื่อสารประเภทของสื่อที่ใช้ในการสื่อสารในองค์กรสื่อหรือช่องทาง ใช้เพื่อให้ข่าวสารนั้นไหลหรือถูกพาไปยังผู้รับสาร พอจะแบ่งออกได้ 3 ประเภท ดังนี้ประเภทการใช้ภาษา ได้แก่ การพูด คำพูด ซึ่งการใช้ภาษานับว่าเป็นการสื่อสารที่ใช้กันมากประเภทไม่ใช้ภาษา ได้แก่ สัญลักษณ์ การเขียนข้อความ ภาพ หรือเครื่องหมายต่างๆ เป็นต้นประเภทอาศัยการแสดง/พฤติกรรมรูปแบบของการสื่อสาร การสื่อสารโดยทั่วๆ ไปแล้ว สามารถแยกรูปแบบออกได้ดังนี้การสื่อสารภายในตัวบุคคลการติดต่อสื่อสารระหว่างบุคคลการสื่อสารแบบกลุ่มใหญ่ แบบนี้ไม่มีให้เห็นมากนัก แต่ก็มีบางงานใช้การสื่อสารภายในองค์กรการสื่อสารมวลชนลักษณะการสื่อสารในองค์กร ลักษณะการสื่อสารในองค์กร โดยทั่วๆไปจะมีรูปแบบอยู่ 3 ลักษณะ คือ  การสื่อสารระหว่างบุคคล หมายถึง การสื่อสารกันระหว่างพนักงานต่อพนักงาน หรือระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง เป็นต้น
     การสื่อสารระหว่างหน่วยงานราชการ หมายถึง การสื่อสารกันระหว่างหน่วยงาน ภายในองค์กร
     การสื่อสารระหว่างองค์กร หมายถึง การติดต่อที่เกิดขึ้นระหว่างองค์กรต่อองค์กรจุดมุ่งหมายของการสื่อสารในองค์กรการสื่อสารในองค์กรที่เกิดขึ้นเพื่อการประสานงาน และสร้างความเข้าใจต่อกัน ทั้งนี้ก็เพื่อให้งานสำเร็จตามเป้าหมายฉะนั้น พอจะสรุปจุดมุ่งหมายได้ดังนี้เพื่อการควบคุมการปฏิบัติงานได้ดีขึ้นเพื่อการให้ข้อมูลที่เป็นพื้นฐานในการตัดสินใจเพื่อการจูงใจและกระตุ้นให้เกิดความร่วมมือ ร่วมใจกันทำงานในองค์กรเพื่อการแสดงออกซึ่งความรู้สึกต่างๆ เพื่อให้หัวหน้าหรือพนักงานด้วยกันมีความเข้าใจกันเทคนิคการสื่อสารในองค์กร เทคนิคในการสื่อสาร จะมีลักษณะสำคัญ 3 ประการ คือ

1. เทคนิคการสื่อสารจากระดับบนสู่ล่าง ได้แก่ การสื่อสารจากผู้บังคับบัญชาลงสู่ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา
2. เทคนิคการสื่อสารจากระดับล่างสู่บน ได้แก่ การศึกษาจากผู้ใต้บังคับบัญชา ติดต่อขึ้นตามคำสั่ง ตามลำดับขั้น จนถึงผู้บังคับบัญชา
3. เทคนิคการสื่อสารระดับเดียวกัน เช่น ระหว่างเพื่อนร่วมงาน บุคคลในระดับเดียวกันรูปแบบของเครือข่ายการติดต่อสื่อสาร ในการจัดเครือข่ายการสื่อสาร เพื่อให้มีการติดต่อสื่อสารกัน สามารถแบ่งออกได้ดังนี้
1. แบบลูกโซ่ (Chain) เป็นเครือข่ายที่พบความผิดพลาดอยู่เสมอ
2. แบบวงล้อหรือดาว (Wheel or Star) เป็นเครือข่ายของการประสานงาน
3. แบบเผด็จการแบบวงกลม (Circle) เป็นการติดต่อข่าวสารกันแบบต่อเนื่องกัน                       
4. แบบว่าว (Kite) เป็นการติดต่อที่ผสมผสานกันทั้งแบบลูกโซ่และแบบวงล้อแบบทุกช่องทาง  (All Channel) เป็นเครือข่ายการติดต่อสื่อสารที่มีการประสารกันได้ทุกจุด ทำให้มีประสิทธิภาพมากที่สุดหลักสำคัญในการติดต่อสื่อสารที่ดี

🙏ขอขอบคุณ🙏  : https://sites.google.com/site/project30000102/home/neuxha

💻สืบค้นเมื่อวันที่💻   29 พฤศจิกายน 2561



วันพฤหัสบดีที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2561

การจัดการความเสี่ยง



การจัดการความเสี่ยง💥

ความหมายของความเสี่ยงในมุมมองขององค์การทั่วไป
          ความเสี่ยง (Risk) หมายถึง เหตุการณ์/การกระทำใดๆ ที่มีความแน่นอนซึ่งหากเกิดขึ้นจะมีผลกระทบในเชิงลบ ต่อวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายขององค์การ หรือลดโอกาสที่จะบรรลุความสำเร็จต่อการบรรลุเป้าหมายและวัตถุประสงค์ของแผนงาน/โครงการที่จะก้าวสู่พันธกิจ และวิสัยทัศน์ที่ได้กำหนดไว้
          โอกาส (Opportunity) หมายถึง เหตุการณ์ที่มีความไม่แน่นอน ซึ่งหากเกิดขึ้นจะมีผลกระทบในเชิงบวก ต่อวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายขององค์การซึ่งผู้บริหารและผู้ที่เกี่ยวข้องควรจะได้ทบทวนถึงกลยุทธ์ที่เหมาะสมและแผนงานที่เหมาะสมใหม่ เพื่อสร้างคุณค่าเพิ่ม (Value Creation) ให้กับองค์การนอกเหนือจากแผนงานและโครงการที่ได้กำหนดไว้แล้ว
          ความเสี่ยงเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ในอนาคต ประกอบด้วยปัจจัย 2 ประการ คือ ความเป็นไปได้ของโอกาสที่จะเกิดเหตุการณ์หรือความน่าจะเกิดขึ้น และความรุนแรงของผลตรงข้ามที่เกิดขึ้นจากเหตุการณ์นั้นสิ่งสำคัญต้องทำให้ทั้ง 2 ประการได้สมดุลกัน





ประเภทของความเสี่ยง
ความเสี่ยงที่เป็นอุปสรรคหรืออันตราย (Hazard)
          ความเสี่ยงที่เป็นอุปสรรคหรืออันตราย คือ เหตุการณ์ในเชิงลบ/เหตุการณ์ไม่ดีที่หากเกิดขึ้นแล้วอาจเป็นอันตรายหรือสร้างความเสียหายต่อองค์การ เช่น ภาวการณ์เปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี การแข่งขันทางการตลาดทั้งสินค้าและบริการ การเปลี่ยนแปลงนโยบาย กลยุทธ์ ศักยภาพ ความสามารถของผู้บริหารและพนักงาน เป็นต้น

ความเสี่ยงที่เป็นความไม่แน่นอน (Uncertainly)
          ความเสี่ยงที่เป็นความไม่แน่นอน คือ เหตุการณ์ที่ทำให้ผลที่องค์การได้รับจากการณ์ไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ หรือการไม่สามารถคาดการณ์เหตุการณ์ล่วงหน้าได้อย่างแม่นยำ อันเนื่องมาจากสาเหตุต่างๆ กัน เช่น ต้นทุนที่เกิดขึ้นจริงสูงกว่างบประมาณที่กำหนดไว้ เป็นต้น

 ความเสี่ยงที่เป็นโอกาส (Opportunity)
     ความเสี่ยงที่เป็นโอกาส คือ เหตุการณ์ที่ทำให้องค์การเสียโอกาสในการแข่งขัน การดำเนินงานและการเพิ่มมูลค่าของผู้มีผลประโยชน์ร่วม เช่น การไม่ส่งเสริมหรือพัฒนาบุคลากรให้มีทักษะในการปฏิบัติงาน เพื่อยกระดับประสิทธิภาพขององค์การ เป็นต้น

 สาเหตุแห่งความเสี่ยง
     ความเสี่ยงทุกประเภทเกิดขึ้นโดยมีเหตุแห่งความเสี่ยง (Risk Driver) ซึ่งอาจเป็นเหตุที่เกิดจากภายในองค์การ ผู้บริหารควรทำความเข้าใจถึงการเปลี่ยนแปลงที่มีผลต่อธุรกิจและเหตุผลแห่งความเสี่ยงที่เกิดขึ้นมาตลอดเวลา เพื่อจะได้สามารถควบคุมได้อย่างเพียงพอและเหมาะสมต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนั้น
         ความเสี่ยงสามารถเกิดขึ้นได้เสมอ โดยองค์การทั่วไปมักต้องเผชิญกับเหตุการณ์เหล่านี้ เช่น แผนงาน/โครงการใหม่ไม่เป็นไปตามที่คาดไว้ การลงทุนไม่ให้ผลตอบแทนตามที่คาดไว้ การละเลยกระบวนการทางธุรกิจ ภาวการณ์เปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี คุณภาพหรือปัญหาข้อขัดข้องของกิจกรรมประมวลผลและระบบสารสนเทศ เป็นต้น ดังนั้น องค์การทั่วไปควรดำเนินการเพื่อหลีกเลี่ยงหรือลดเหตุการณ์ที่อาจก่อให้เกิดความเสียหาย แต่สามารถบ่งชี้เหตุการณ์ที่เป็นโอกาสในการเพิ่มคุณค่าให้กับองค์การ สิ่งที่ทำให้ผู้บริหารต้องให้ความสำคัญหรือการกำหนดระดับความไม่แน่นอนที่องค์การยอมรับได้ แต่ในขณะเดียวกันก็สามารถเพิ่มคุณค่าให้กับผู้มีผลประโยชน์ร่วมกัน

👉แนวคิดการบริหารความเสี่ยง👈
     การบริหารความเสี่ยง (Risk Management) เป็นกลวิธีที่เป็นเหตุผลที่นำมาใช้ในการบ่งชี้ วิเคราะห์ ประเมิน จัดการ ติดตาม และสื่อสารความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรม หน่วยงาน/ฝ่ายงาน หรือกระบวนการดำเนินงานขององค์การ เพี่อช่วยให้องค์การลดความสูญเสียให้เหลือน้อยที่สุด และเพิ่มโอกาสให้แก่ธุรกิจมากที่สุด การบริหารความเสี่ยง ยังหมายความถึงการประกอบกันอย่างลงตัวของวัฒนธรรมองค์การ กระบวนการและโครงสร้างองค์การ ซึ่งมีผลโดยตรงต่อประสิทธิภาพการบริหาร และผลได้ผลเสียขององค์การ

        การบริหารความเสี่ยงโดยมีโครงสร้างองค์การ กระบวนการ และวัฒนธรรมองค์การ ประกอบเข้าด้วยกันและมีลักษณะที่สำคัญ ได้แก่
        1. ผสมผสานและเป็นส่วนหนึ่งขององค์การ เพราะเป็นกลไกส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนไปสู่การกำกับดูแลกิจการที่ดี
        2. การบริหารความเสี่ยงควรสอดคล้องกับแผนการต่างๆขององค์การ
        3. พิจารณาความเสี่ยงทั้งหมด โดยครอบคลุมความเสี่ยงทั่วทั้งองค์การ
        4. ความเสี่ยงโดยรวมขององค์การ ได้แก่ ความเสี่ยงเกี่ยวกับกลยุทธ์ (Strategic Risk) ความเสี่ยงเกี่ยวกับประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการทำงาน (Operational Risk) ความเสี่ยงเกี่ยวกับการรายงานทุกประเภท รวมทั้งรายงานทางการเงิน (Financial Risk) และความเสี่ยงทางด้านการปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ คำสั่งต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง (Compliance Risk) ซึ่งความเสี่ยงเหล่านี้อาจทำให้เกิดความเสียหาย ความไม่แน่นอน และโอกาส รวมถึงการมีผลกระทบต่อวัตถุประสงค์ และความพึ่งพอใจของผู้มีส่วนได้เสียอย่างสำคัญ
        5. การบริหารความเสี่ยงมีความคิดแบบมองไปข้าง โดยบ่งชี้ปัจจัยของความเสี่ยงว่าเหตุการณ์ใดที่อาจจะเกิดขึ้นที่มีผลทางลบและมีผลต่อการบรรลุวัตถุประสงค์ขององค์การ
        6. ได้การสนับสนุนและมีส่วนร่วม โดยทุกคนในองค์การตั้งแต่ระดับกรรมการ ผู้บริหารระดับสูงและพนักงานทุกคนมีส่วนร่วมในการบริหารความเสี่ยงเพื่อความสำเร็จของเป้าประสงค์ หลักพันธกิจ และวิสัยทัศน์ขององค์การ

 การจัดการความเสี่ยงขององค์การ (Enterprise Risk Management : ERM)
     COSO (Committee of Sponsoring Organizations of  Treadway  Commission) ได้เสนอแนวทางใหม่ที่เรียกว่า การจัดการความเสี่ยงขององค์การ (Enterprise Risk Management : ERM) ซึ่งเป็นกระบวนการที่ระบุและวิเคราะห์ความเสี่ยงในมุมมองของภาพที่เป็นองค์รวมแบบบูรณาการทั่วทั้งองค์การ
          ทุกองค์การไม่ว่าจะเป็นองค์การที่หวังผลกำไร องค์การทางการกุศล หรือหน่วยงานของรัฐบาลที่ตั้งขึ้นเพื่อเพิ่มคุณค่าแก่ผู้มีส่วนได้เสีย ทุกองค์การนั้นต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนและความท้าทายทางการบริหาร เพื่อที่จะกำหนดระดับของความไม่แน่นอนที่สามารถเตรียมพร้อมในการยอมรับในความเสี่ยงเป็นกรอบความคิดทางการบริหารเพื่อที่จะจัดการกับสภาวการณ์ที่ไม่มีความแน่นอนอย่างมีประสิทธิภาพและเกี่ยวข้องกับความเสี่ยง โอกาสและการเพิ่มความสามารถในการสร้างคุณค่าได้อย่างแท้จริงในหลักการของการบริหารเชิงรุกหรือการบริหารความเสี่ยงภายใต้หลักการกำกับดูแลกิจการที่ดีในการสร้างคุณค่าเพิ่มระยะยาวให้กับองค์การและสังคม

ประโยชน์ของการจัดการความเสี่ยงขององค์การ
     ไม่มีองค์การใดไม่ว่าภาครัฐหรือภาคเอกชนสามารถดำเนินการภายใต้สภาพแวดล้อมที่ปราศจากความเสี่ยงได้องค์การที่ต้องดำเนินในสภาวะแวดล้อมดังกล่าว การจัดการความเสี่ยงจะช่วยให้ฝ่ายบริหารจัดการกับสภาพแวดล้อมให้เหมาะสมกับความเสี่ยงได้เป็นอย่างดี เพื่อก้าวสู่การบรรลุวัตถุประสงค์และเป้าหมายได้อย่างสมเหตุสมผล

การจัดการความเสี่ยงขององค์การ เป็นการส่งเสริมความสามารถในด้านต่อไปนี้
การปรับความเสี่ยงที่องค์การยอมรับได้
          การปรับความเสี่ยงที่องค์การยอมรับได้เป็นการกำหนดกลยุทธ์ที่เหมาะสมให้เป็นไปในทิศทางเดียวกันกับความเสี่ยงที่องค์การยอมรับได้ คือระดับความเสี่ยงที่องค์การเต็มใจที่จะยอมรับเพื่อมุ่งไปสู่เป้าหมายขององค์การ ซึ่งการบริหารความเสี่ยงจะพิจารณาถึงความเสี่ยงที่องค์การยอมรับได้เป็นอย่างแรก เพื่อประเมินทางเลือกและพัฒนากลไกในการบริหารความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องต่อไป

ความเชื่อมโยงการเติบโต ความเสี่ยง และผลตอบแทน
          การบริหารความเสี่ยงช่วยในการระบุและประเมินความเสี่ยง รวมทั้งกำหนดระดับความเสี่ยงที่สามารถยอมรับได้ ที่สัมพันธ์กับการเติบโตและเป้าหมายของผลตอบแทนตามวัตถุประสงค์ที่องค์การกำหนดไว้

     ส่งเสริมการตัดสินใจในการตอบสนองความเสี่ยงที่เกิดขึ้น
          การบริหารความเสี่ยงใช้ในการระบุและเลือกทางเลือกในการตอบสนองความเสี่ยงในรูปแบบต่างๆ ทั้งยังช่วยจัดหาวิธีการและเทคนิคสำหรับการตัดสินใจ

     การลดความไม่แน่นอนและความสูญในการปฏิบัติงานให้น้อยที่สุด
          การลดความไม่แน่นอนและความสูญเสียในการปฏิบัติงานให้น้อยที่สุดช่วยให้องค์การสามารถระบุเหตุการณ์ที่มีความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้น ประเมินความเสี่ยงและจัดการตอบสนองต่อความเสี่ยงที่เกิดขึ้น รวมทั้งลดสิ่งไม่แน่นอนที่อาจจะเกิดขึ้น ตลอดจนความสัมพันธ์ของต้นทุนและการสูญเสีย

การระบุแลบริหารความเสี่ยงในองค์การ
          ทุกๆองค์การเผชิญกับความเสี่ยงมากมายหลายประเภทที่ส่งผลต่อส่วนต่างๆขององค์การที่แตกต่างกัน ฝ่ายบริหารไม่เพียงแต่ต้องบริหารความเสี่ยงเฉพาะบุคคลแต่เข้าใจถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นด้วย

 มีการตอบสนองแบบบูรณาการกับความเสี่ยงที่หลากหลาย
     กระบวนการทางธุรกิจนำมาซึ่งความเสี่ยงสืบเนื่องหรือความเสี่ยงจากลักษณะธุรกิจในหลายรูปแบบ และการจัดการความเสี่ยงทำให้เกิดการแก้ไขปัญหาแบบบูรณาการต่อการบริหารความเสี่ยง

การฉกฉวยโอกาส
        ฝ่ายบริหารต้องพิจารณาเหตุการณ์ที่มีความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้นมากกว่าพิจารณาเฉพาะความเสี่ยง โดยการพิจารณาทุกระดับของเหตุการณ์

การจัดการกับทุนอย่างสมเหตุสมผล
           การจัดการกับทุนอย่างสมเหตุสมผลต้องใช้ข้อมูลที่ถูกต้องมีความหมายต่อความเสี่ยงทั้งหมดขององค์การ สิ่งนี้จะทำให้การบริหารเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นในการจัดเข้าถึงความต้องการและปรับปรุงการจัดสรรทรัพย์สินหรือทุน รวมถึงงบประมานได้อย่างเหมาะสม
 กรอบการบริหารความเสี่ยง
     กรอบการบริหารความเสี่ยงจะช่วยให้ทุกหน่วยงานในองค์การมีวิธีการในการระบุ ประเมิน และจัดการความเสี่ยงในทิศทางเดียวกัน อันจะส่งผลให้การบริหารความเสี่ยงเกิดประสิทธิผลสูงสุด

             กรอบการบริหารความเสี่ยงประกอบด้วย 4 องค์ประกอบหลัก ดังนี้
               วัฒนธรรมองค์การ (Culture)
                      ในการบริหารความเสี่ยงในทุกๆระดับขององค์การ โดยผู้บริหารระดับสูงกำหนดนโยบาย วัตถุประสงค์ และกลยุทธ์ในการบริหารความเสี่ยงและระดับความเสี่ยงที่องค์การยอมรับได้ และชี้แจงสิ่งเหล่านี้ให้ทุกคนในองค์การได้รับทราบเพื่อจะได้ตระหนักถึงความสำคัญของการบริหารความเสี่ยง

              โครงสร้างการบริหารความเสี่ยง (Structure)
          กำหนดโครงสร้างการบริหารความเสี่ยงที่เหมาะสม และระบุหน้าที่และความรับผิดชอบต่อการบริหารความเสี่ยงอย่างชัดเจน โดยถือว่าการบริหารความเสี่ยงเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบของทุกคนในองค์การ ตั้งแต่คณะกรรมการผู้บริหารระดับสูง  ผู้บริหาร และพนักงานทุกคน

กระบวนการ (Process)
          ปฏิบัติตามระบวนการบริหารความเสี่ยงอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง โดยมีการปรับปรุงกระบวนการให้มีความเหมาะสมกับการดำเนินธุรกิจอยู่เสมอ

ปัจจัยพื้นฐาน (Infrastructure)
มีปัจจัยพื้นฐานที่ดี อันประกอบด้วย
1. บุคลากรที่มีความสามารถ
2. วิธีการวัดผลการดำเนินงาน
3. การให้ความรู้และฝึกอบรม
4. ช่องทางในการสื่อสารทั้งภายในและภายนอกองค์การ
5. วิธีการสอบทานคุณภาพเพื่อทำให้มั่นใจได้ว่าองค์การสามารถดำเนินการบริหารความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ


หลักการบริหารความเสี่ยง
         หลักการบริหารความเสี่ยงประกอบด้วยพื้นฐาน 2 ประการ คือ หลักการ ORCA และปัจจัยที่ทำให้การนำกรอบการบริหารความเสี่ยงไปปฏิบัติประสบผลสำเร็จ
หรือ หลักการบริหารความเสี่ยง =  หลักการ ORCA + ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ประสบความสำเร็จ
หลักการ ORCA
          คำย่อของ  ORCA คือ Qbjective – วัตถุประสงค์ Risk- ความเสี่ยง Control- การควบคุม ภายใน และ Alignment – ความสอดคล้องกัน ซึ่งเป็นแนวทางที่มีเหตุผล ดังนี้
   1. กำหนดวัตถุประสงค์ (Objectives) ที่ชัดเจนขององค์การ
   2. การประเมินความเสี่ยง (Risk) ที่อาจทำให้บรรลุวัตถุประสงค์
   3. สร้างการควบคุมภายใน (Control) ที่เหมาะสมเพื่อจัดการความเสี่ยงขององค์การ
   4. ดำเนินการเพื่อให้มั่นใจว่ามีความสอดคล้องกัน (Alignment) ระหว่างวัตถุประสงค์ความเสี่ยงและควบคุมทั่วทั้งองค์การ


           ปัจจัยสำคัญต่อความสำเร็จในการบริหารความเสี่ยง
ปัจจัยสำคัญ 8 ประการ เพื่อช่วยให้การปฏิบัติตามกรอบการบริหารความเสี่ยงประสบความสำเร็จ มีดังนี้

ปัจจัยที่ 1 : การสนับสนุนจากผู้บริหารระดับสูง
          การปฏิบัติตามกรอบการบริหารความเสี่ยงขององค์การ จะประสบความสำเร็จเพียงใดขึ้นอยู่กับเจตนารมณ์ การสนับสนุน การมีส่วนร่วม และความเป็นผู้นำของผู้บริหารระดับสูงในองค์การ
          คณะกรรมการและผู้บริหารระดับสูงขององค์การทั่วไปต้องให้ความสำคัญและสนับสนุนให้ทุกคนในองค์การเข้าใจความสำคัญในคุณค่าของการบริหารความเสี่ยงต่อองค์การ มิฉะนั้นแล้วการบริหารความเสี่ยงจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้ การบริหารความเสี่ยงต้องเริ่มต้นจากการที่กรรมการผู้จัดการ หรือผู้นำสูงสุดขององค์การ ต้องการให้ระบบนี้เกิดขึ้น โดยกำหนดนโยบายให้มีการปฏิบัติ รวมถึงการกำหนดให้ผู้บริหารต้องใช้ข้อมูลเกี่ยวกับความเสี่ยงในการตัดสินใจและบริหารงาน เป็นต้น

ปัจจัยที่ 2 : ความเข้าใจความหมายความเสี่ยงตรงกัน
          การใช้คำนิยามเกี่ยวกับความเสี่ยงและการบริหารความเสี่ยงแบบเดียวกัน จะทำให้เกิดความมีประสิทธิภาพในการกำหนดวัตถุประสงค์ นโยบาย กระบวนการ เพื่อใช้ในการบ่งชี้และประเมินความเสี่ยง และกำหนดความเสี่ยงที่เหมาะสม

ปัจจัยที่ 3 : กระบวนการบริหารความเสี่ยง ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง
          การที่องค์การทั่วไปจะประสบความสำเร็จในการปฏิบัติตามกระบวนการบริหารความเสี่ยงได้นั้น รูปแบบการบริหารความเสี่ยงขององค์การจะต้องมีการกำหนดขึ้น และเป็นความรับผิดชอบของผู้บริหารในทุกระดับที่จะนำกระบวนการบริหารความเสี่ยงมาปฏิบัติได้อย่างทั่วได้องค์การ และต้องกระทำอย่างต่อเนื่อง สม่ำเสมอ

ปัจจัยที่ 4 : การบริหารการเปลี่ยนแปลง ต้องมีการชี้แจง
          ในการนำเอากระบวนการบริหารความเสี่ยงมาปฏิบัติ จำเป็นต้องมีการปรับวัฒนธรรมการบริหารความเสี่ยงขององค์การให้เข้ากับทุกระดับขององค์การและต้องให้ผู้บริหารและพนักงานทุกคนได้ทราบถึงการเปลี่ยนแปลงและผลที่องค์การและแต่ละบุคคลจะได้รับจากการเปลี่ยนแปลงนั้น
องค์ประกอบที่สำคัญของการเปลี่ยนแปลง
 1. กำหนดความคาดหวังที่เป็นไปได้ในทางปฏิบัติตั้งแต่เริ่มต้นโครงการ
2. กำหนดระยะเวลาของกระบวนการเปลี่ยนแปลงและสื่อให้กับผู้ที่เกี่ยวข้องได้รับทราบ
 3. กำหนดลักษณะและระดับของความพยายามที่ต้องการ
4. ดำเนินการเพื่อให้มั่นใจว่ามีการสื่อสารไปยังทุกฝ่ายที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลง
5. ระบุปัญหา อุปสรรคที่ต้องดำเนินการแก้ไขตั้งแต่เริ่มแรก

ปัจจัยที่ 5 : การสื่อสารที่มีคุณภาพเชื่อมโยงกับกลยุทธ์
วัตถุประสงค์ของการสื่อสารอย่างมีประสิทธิผลนั้น ต้องให้มั่นใจได้ว่า
 1. ผู้บริหารได้รับข้อมูลเกี่ยวกับความเสี่ยงที่ถูกต้องและทันเวลา
2. ผู้บริหารสามารถจัดการกับความเสี่ยงตามลำดับความสำคัญหรือตามการเปลี่ยนแปลงหรือความเสี่ยงที่เกิดขึ้นใหม่ได้ทันท่วงที
3. มีการติดตามแผนการจัดการความเสี่ยงอย่างต่อเนื่อง เพื่อนำมาใช้ปรับปรุงการบริหารองค์การ และจัดการความเสี่ยงต่างๆ เพื่อให้องค์การมีโอกาสในการบรรลุวัตถุประสงค์ได้มากที่สุด

ปัจจัยที่ 6 : การวัดผลการบริหารความเสี่ยง ควบคู่กับกระบวนการด้านบุคลากร
          การวัดความเสี่ยงในรูปแบบของผลกระทบและโอกาสที่อาจเกิดขึ้น เพื่อให้ผู้บริหารสามารถประเมินความเสี่ยงที่เกิดขึ้นและดำเนินการให้กระบวนการทั้งหมดเกิดความสอดคล้องกันอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล และเป็นการลดความแตกต่างระหว่างความเสี่ยงที่เกิดขึ้น และความเสี่ยงที่องค์การยอมรับ

ปัจจัยที่ 7 : การฝึกอบรม ความรู้ ความรับผิดชอบการบริหารความเสี่ยง
          กรรมการ ผู้บริหาร และพนักงานทุกคนในองค์การ ควรต้องได้รับการฝึกอบรมเพื่อให้เข้าใจกรอบการบริหารความเสี่ยง และความรับผิดชอบของแต่ละบุคคลในการจัดการความเสี่ยง เพื่อบรรลุความสำเร็จขององค์การ การสื่อสารข้อมูลเกี่ยวกับความเสี่ยง
           การฝึกอบรมในองค์การควรต้องคำนึงถึงประเด็น ดังต่อไปนี้
1. ความแตกต่างกันของระดับความรับผิดชอบในการบริหารความเสี่ยง
2. ความรู้เกี่ยวกับความเสี่ยง และการบริหารความเสี่ยงที่มีอยู่แล้วในองค์การ
3. พนักงานใหม่ทุกคน ควรได้รับการฝึกอบรม เพื่อให้มีความเข้าใจในความรับผิดชอบต่อความเสี่ยง และกระบวนการบริหารความเสี่ยงด้วยเช่นกัน
4. ระบบการประเมินผลการดำเนินงาน ถือเป็นเครื่องมือสำคัญที่ใช้ในการส่งเสริมความรับผิดชอบของแต่ละบุคคล
5. ความรับผิดชอบและการสนับสนุนกระบวนการบริหารความเสี่ยงและกรอบการบริหารความเสี่ยงที่แต่ละบุคคลมีต่อองค์การ
6. การวัดระดับของความเสี่ยงที่บุคคลนั้น เป็นผู้รับผิดชอบ ว่าความเสี่ยงได้รับการจัดการอย่างมีประสิทธิผลเพียงใด

ปัจจัยที่ 8 : การติดตามกระบวนการบริหารความเสี่ยง
          ขั้นตอนสุดท้ายของปัจจัยสำคัญต่อความสำเร็จของการบริหารความเสี่ยง คือ การกำหนดวิธีที่เหมาะสมในการติดตามการบริหารความเสี่ยง
การติดตามกระบวนการบริหารความเสี่ยง ควรพิจารณาประเด็นต่อไปนี้
1. การรายงาน และสอบถามขั้นตอนตามกระบวนการบริหารความเสี่ยง
2. ความชัดเจนและสม่ำเสมอของการมีส่วนร่วม และความมุ่งมั่นของผู้บริหารระดับสูง
3. บทบาทของผู้นำในการสนับสนุน และติดตามการบริหารความเสี่ยง
4. การประยุกต์ใช้เกณฑ์การประเมินผลการดำเนินงานที่เกี่ยวกับการบริหารความเสี่ยง


ข้อจำกัดของการบริหารความเสี่ยงขององค์การ
        การบริหารความเสี่ยงขององค์การทั่วไป ที่มีประสิทธิผลไม่ได้มีกำหนดไว้ว่าวิธีการใด จะเป็นการออกแบบและการปฏิบัติที่ดี การบริหารความเสี่ยงเป็นเพียงหลักประกันอย่างสมเหตุสมผลให้กับคณะกรรมการและผู้บริหารองค์การในการที่จะบริหารความเสี่ยงขององค์การให้บรรลุผลสำเร็จ

แนวคิดในการพิจารณาข้อจำกัดของการบริหารความเสี่ยง
        ในการพิจารณาข้อจำกัดของการบริหารความเสี่ยงต้องพิจารณาแนวคิด 3 ประการ ดังนี้
1. ความเสี่ยงเป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับอนาคต
2. การบริหารความเสี่ยงขององค์การต้องดำเนินในระดับที่แตกต่างเพื่อตอบสนองต่อวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกัน เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นจริงอยู่นอกการควบคุมโดยทั่วไปของฝ่ายบริหาร
3. การบริหารความเสี่ยงขององค์การไม่สามารถเป็นเครื่องประกันในการตอบสนองต่อวัตถุประสงค์ประเภทต่างๆ ได้ทั้งหมด ไม่มีกระบวนการใดจะสามารถดำเนินการได้ตามที่ได้ตั้งใจไว้

ข้อจำกัดของการตัดสินใจกับการบริหารความเสี่ยง
          ประสิทธิผลของการบริหารความเสี่ยงถูกจำกัดโดยศักยภาพของบุคคลในการตัดสินใจทางการบริหาร การตัดสินใจเกิดขึ้นจากการตัดสินใจของบุคคลในเวลาที่มีอยู่ โดยมีพื้นฐานจากข้อมูลที่มีอยู่ในขณะนั้นและภายใต้แรงกดดันของการดำเนินงานเพื่อบรรลุเป้าหมาย

ข้อจำกัดในการแจงรายละเอียด
          การบริหารความเสี่ยงขององค์การที่ได้รับการออกแบบมาอย่างดี สามารถแจงรายละเอียดได้บุคลากรอาจไม่เข้าใจข้อแนะนำ โดยอาจตัดสินผิดพลาด หรืออาจเกิดความผิดพลาดเนื่องจากการไม่ได้รับ

ข้อจำกัดของการสมรู้ร่วมคิดของพนักงาน
          พฤติกรรมการสมรู้ร่วมคิดของพนักงานตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปสามารถส่งผลต่อการบริหารความเสี่ยงขององค์การได้ การปฏิบัติของแต่ละคนในการกระทำและปิดบังการปฏิบัติที่มักเลือกข้อมูลทางการเงินหรือข้อมูลในการบริหารอื่นๆ

ข้อจำกัดด้านต้นทุนกับผลตอบแทน
          การมีทรัพยากรที่จำกัดและองค์การต้องพิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างต้นทุนกับผลประโยชน์เพื่อตัดสินใจ รวมทั้งเรื่องที่เกี่ยวข้องเพื่อตอบสนองความเสี่ยงและการดำเนินกิจกรรมการควบคุม

          การวัดต้นทุนกับผลตอบแทนเพื่อการนำไปปฏิบัติในการระบุเหตุการณ์และความสามารถในการประเมินความเสี่ยงและการตอบสนองที่เกี่ยวข้อง และการทำกิจกรรมการควบคุมในระดับความแม่นยำที่แตกต่างกัน

การกระทำผิดกฎเกณฑ์และการละเลยของฝ่ายบริหาร
       การบริหารความเสี่ยงขององค์การจะเกิดประสิทธิผลได้ขึ้นอยู่กับบุคลากรที่ทำหน้าที่ทางด้านนี้ แม้องค์การมีการบริหารและการควบคุมที่มีประสิทธิผล เช่น มีระดับของความซื่อสัตย์ต่อองค์การและความตระหนักถึงเรื่องการควบคุมสูง ผู้บริหารก็อาจ Override หรือ ละเลย กระทำผิดกฎเกณฑ์กระบวนการบริหารความเสี่ยงได้ ไม่มีระบบการบริหารหรือการควบคุมใดที่ไม่มีข้อผิดพลาดนั้น

แนวปฏิบัติสู่ความเป็นเลิศในการบริหารความเสี่ยงขององค์การทั่วไป
          แนวปฏิบัติสู่ความเป็นเลิศในการบริหารความเสี่ยงประกอบด้วย
1.  การนำการบริหารความเสี่ยงมาใช้เป็นเครื่องมือทางกลยุทธ์ เพื่อช่วยสนับสนุนการบรรลุวัตถุประสงค์ขององค์การ
2.  การทำให้การบริหารความเสี่ยงมีความสอดคล้องและรวมอยู่ในกระบวนการดำเนินงานที่มีอยู่ในปัจจุบันขององค์การ
3.  การบริหารความเสี่ยงที่ครอบคลุมถึงความเสี่ยงเกี่ยวกับการปฏิบัติงานในภาพรวมและความเสี่ยงเชิงกลยุทธ์
4.  กรรมการผู้จัดการและผู้บริหารระดับสูงต้องสนับสนุนและเน้นถึงประโยชน์ที่จะได้รับจากการบริหารความเสี่ยง รวมทั้งแสดงความรับผิดชอบและมีส่วนร่วมในการบริหารความเสี่ยง
5.  การใช้คำนิยามเกี่ยวกับความเสี่ยงที่เป็นที่เข้าใจและใช้ร่วมในองค์การ
6.  การมีกระบวนการในการบ่งชี้ วิเคราะห์ จัดการ ติดตาม และรายงานความเสี่ยง
7.  องค์การต้องมีความมุ่งมั่นและพยายามอย่างจริงจัง ในการบ่งชี้และบริหารความเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากการนำการบริหารความเสี่ยงเข้ามาปรับใช้ภายในองค์การ
8.  มีการสื่อสารให้ข้อมูลเกี่ยวกับความเสี่ยงอย่างสม่ำเสมอ โดยเน้นให้เห็นถึงความสำคัญของการบริหารความเสี่ยง
9.  การวัดผลความเสี่ยงทั้งในเชิงคุณภาพ เช่น ชื่อสียง การขาดบุคลากรหลักในการดำเนินงาน และเชิงปริมาณ เช่น ผลขาดทุน มูลค่ารายได้ หรือค่าใช้จ่ายที่อาจเพิ่มขึ้นหรือลดลง โดยพิจารณาจาก 2 ประเด็น คือ โอกาสที่อาจเกิดขึ้นและผลกระทบ
10.  การจัดให้มีการฝึกอบรมและใช้กลไกการบริหารทรัพยากรบุคคลเพื่อเผยแพร่ข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับการบริหารความเสี่ยง ความรับผิดชอบของแต่ละบุคคล และเพื่อส่งเสริมให้เกิดการปฏิบัติที่เหมาะสม
11.  การจัดให้หน่วยงานหรือผู้รับผิดชอบในการบริหารความเสี่ยง เพื่อทำหน้าที่ช่วยเหลือในการดำเนินการ การสนับสนุนการนำการบริหารความเสี่ยงมาปฏิบัติ และการพัฒนาความสามารถในการบริหารความเสี่ยงของพนักงาน แต่ไม่มีหน้าที่โดยตรงในการประเมินและจัดการความเสี่ยงที่ดีที่เกิดขึ้น
12.  ผู้ตรวจสอบภายในมีบทบาทสำคัญในการสร้างความมั่นใจว่าองค์การมีการควบคุมภายในที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการจัดการความเสี่ยง




การบริหารความเสี่ยงแบบยั่งยืน
          การปลูกฝังนโยบาย โครงสร้าง และกระบวนการบริหารความเสี่ยงในกิจกรรมการปฏิบัติงานปกติขององค์การ เป็นขั้นตอนที่สำคัญในการพัฒนากรอบการบริหารความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพ
          ความสำคัญอีกประการหนึ่ง คือ การสร้างความยั่งยืนให้กับกรอบการบริหารความเสี่ยง ทั้งนี้เพื่อให้มั่นใจได้ว่าความเสี่ยงที่ผู้บริหารรับทราบแล้วและคาดว่าจะเกิดขึ้นได้ถูกจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนความเสี่ยงใหม่ได้รับการบ่งชี้เพิ่มเติม โดยมีการสื่อสารและการตอบสนองอย่างเหมาะสม

การทำให้เกิดกรอบการบริหารความเสี่ยงที่ยั่งยืน ประกอบด้วยปัจจัยดังต่อไปนี้
1. การมีกรอบการบริหารความเสี่ยงเพื่อบ่งชี้ความเสี่ยงที่องค์การมีอยู่
2. การมีระบบเพื่อให้มั่นใจได้ว่ามีการปฏิบัติอย่างเหมาะสมเพื่อลดความเสี่ยงที่เกิดขึ้น
3. การมีระบบและการควบคุมอย่างเหมาะสมเพื่อบ่งชี้ความเสี่ยงใหม่ที่กำลังเกิดขึ้นก่อนที่จะก่อให้เกิดปัญหาสำคัญ
4. การประเมินประสิทธิผลของกิจกรรมการบริหารความเสี่ยงอย่างสม่ำเสมอ
5. การรายงานและการประเมินความสูญเสียจากส่วนต่างๆ ขององค์การภายใต้กรอบการบริหารความเสี่ยงที่กำหนด
6. การดำเนินธุรกิจควรคำนึงถึงการบริหารความเสี่ยง พร้อมทั้งมีการประเมินผลและปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้กรอบการบริหารความเสี่ยงมีความยั่งยืน
7. การทำให้กรอบการบริหารความเสี่ยงมีความเหมาะสมกับวัตถุประสงค์ที่กำหนดขึ้นต้องอาศัยระยะเวลา ความพยายาม และวัฒนธรรมที่สนับสนุนให้เกิดการเปลี่ยนแปลง




🙏 ขอขอบคุณ🙏 : https://sites.google.com/site/rtech603xx/unit-9/unit-14
💻สืบค้นเมื่อวันที่💻 24 พฤศจิกายน 2561